เทศน์เช้า วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะนี้เป็นสัจจะเป็นความจริงที่อยู่ใกล้ตัวของเรา แต่เรามองข้าม เราไม่เห็นว่าสิ่งนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยไง เรามองเห็นแต่บ้านเรือน อาหาร ที่พักอาศัยนี้ เป็นที่พึ่งอาศัย บ้านเรือนที่พักอาศัยนั้นมันเป็นปัจจัย ๔ แต่สัจธรรมๆ มันเป็นความจริง เป็นความจริงสำหรับที่ว่าบรรเทาทุกข์ในหัวใจของเราไง ถ้าบรรเทาทุกข์ในหัวใจของเรานะ
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด
ดูภัยพิบัติสิ ดูแผ่นดินไหวสิ ดูวาตภัยสิ ดูภัยแล้ง ดูน้ำท่วม เวลามันมา สิ่งที่วาตภัย วาตภัยจากข้างนอก นั่นน่ะภัยพิบัติที่มันเกิดขึ้น
เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควรนะ เราเกิดจากพ่อจากแม่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าพ่อแม่ พ่อแม่ของเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิจะพาไปตกปลา จะพาไปล่าสัตว์ จะพาไปสร้างเวรสร้างกรรมไง
แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ลูกอย่าทำอย่างนั้น นั่นเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม สัตว์มันก็รักชีวิตของมันทั้งนั้นน่ะ สิ่งมีชีวิตรักชีวิตของตนทั้งสิ้น ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น เราอย่าเบียดเบียนกัน พาลูกพาหลานเราไปวัดไปวา ไปสิ่งที่เป็นธรรม อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน เรามีสิ่งใดเราเจือจานกับเพื่อนฝูงของเรา อย่าหยิบฉวยของใคร ถ้าพ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิพาลูกไปทางที่ดีงาม สิ่งที่ดีงาม ชีวิตของเขาจะดีงาม
ชีวิตเขาดีงามขึ้นมาเพราะอะไร
เพราะมโนธรรม มโนวิญญาณ มโนธรรมของเขาเป็นความคิดที่ดีงาม ถ้ามโนธรรมของเขามันสิ่งที่ว่ามันปิดกั้นหัวใจ ถ้ามโนธรรมมันดีหรือชั่ว ความชั่วๆ ความชั่วมันเอารัดเอาเปรียบเขาทั้งสิ้น มันปิดหูปิดตาคนทั้งสิ้น แล้วมันบอกว่ามันมีผลประโยชน์ มันได้เอารัดเอาเปรียบเขาไง นั่นน่ะมันปิดหูปิดตา
ถ้ามโนวิญญาณ มโนกรรม มโนสัญเจตนาหาร ถ้ามันเป็นความดีงามๆ เราฝึกฝนของเรา ถ้าความฝึกฝนของเราก็ฝึกฝนเพื่อดีงามของเรา เห็นไหม
นี่ไง สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด
เราก็ปรารถนาความสุขของเรา แต่ปรารถนาความสุขของเรา ปัจจัยเครื่องอาศัย ดูสิ ธุรกิจบริการ เรามีเงินมีทองเราไปได้ทั้งสิ้น ที่ไหนเขาก็บริการให้เราทั้งสิ้น แต่ความสุขความทุกข์ในใจของเรา เราไม่มีสติปัญญาเท่าทันมัน
ธรรมโอสถๆ เรามาวัดมาวาก็เพื่อเหตุนี้ไง เหตุนี้เพื่ออะไร
มันเห็นน่ะ มันรู้มันเห็น เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา ถ้าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นแก้วสารพัดนึก นึกได้มากได้น้อยขนาดไหน
ถ้าหัวใจคนที่ยิ่งใหญ่เขานึกได้มากนะ เขาเสียสละหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะสละราชบัลลัง สละทุกๆ อย่างเลย สละเพื่ออะไร สละเพื่อโพธิญาณของท่าน แล้วเวลาได้โพธิญาณของท่านมาเจือจานพวกเราสาวกสาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟัง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกำมือในเรา แบหมดเลย แบหมดเลย แต่เราไปเอาไสยศาสตร์ เราไปเอาความเชื่อนอกศาสนา อภิญญาต่างๆ ความรู้วาระจิตต่างๆ มันเรื่องนอกศาสนาทั้งสิ้น
เรื่องในศาสนา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เรื่องอริยสัจ สัจจะความจริง
ทีนี้สัจจะความจริงมันละเอียดลึกซึ้งจนคนเข้าถึงไม่ได้ พอคนเข้าถึงไม่ได้ก็เอาแต่สัญญาอารมณ์ไง เหาะเหินเดินฟ้า รู้วาระจิต ทายโชคชะตาราศี ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นจริงนะ ทาน ศีล ภาวนา สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ไง ถ้ามันมีจิตใจที่เป็นสาธารณะไง ถ้าจิตใจที่เป็นสาธารณะ ความเป็นอยู่คนเราก็กินแค่อิ่มเดียวเท่านั้นน่ะ ที่นอนก็แค่เตียงเราเท่านั้นน่ะ ที่อยู่ที่อาศัยมันก็พออาศัยได้ทั้งสิ้น
ดูเวลาพระเรา พระเราเวลาถือธุดงควัตร ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส คำว่า “เครื่องขัดเกลากิเลส” ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สมความปรารถนาทั้งสิ้น อยากได้อย่างหนึ่ง จะได้อีกอย่างหนึ่ง นี่ไง เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส คือไม่ได้สมความปรารถนา สิ่งที่ปรารถนามามันไม่สมใจหรอก
เวลาวัยรุ่นก็ปรารถนาอย่างหนึ่ง คนวัยทำงานก็ปรารถนาอย่างหนึ่ง คนชราภาพต้องการอาหารอ่อนๆ ไอ้ดูดเอา เพราะอะไร เพราะมันเคี้ยวอาหารไม่ได้ นี่ไง ไม่สมความปรารถนาทั้งสิ้น นี่เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่บอกว่าเราเห็นว่ามันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นความด้อยในสังคม สังคมเขายิ่งใหญ่
สังคมยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ด้วยกระแส เวลาผู้ที่สงบระงับเข้ามาแล้วในหัวใจนะ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แล้วสิ่งที่ดีงามมันดีงาม เดี๋ยวนี้เขาสวยออกมาจากหัวใจไง เขาสวยออกมาจากความรู้สึกนึกคิดไง ความรู้สึกนึกคิด ยิ้มสยามไง มันออกมาจากหัวใจ เจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เจตนาที่ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร เจตนาที่หวังให้คนอื่นเป็นสุข แล้วมันเข้าที่ไหนมันก็อาจหาญนะ
แต่ว่าคนเรามันมีเวรมีกรรม เวลากรรมมันตอบสนอง กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมถึงเวลามันให้ผล เวลากรรมมันให้ผลเราหลีกเลี่ยงได้อย่างไร
ความหลีกเลี่ยงก็หลีกเลี่ยงด้วยธรรมะนี่ไง สิ่งที่มันทำ สิ่งที่กรรม กมฺมพนฺธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์มันเป็นเผ่าพันธุ์กับใจนี้มา พอเป็นเผ่าพันธุ์กับใจนี้มา ใจมันชอบอย่างนี้ ใจมันชอบอย่างนี้ ใจมันคิดอย่างนี้ แล้วอย่างอื่นมันดีดมันดิ้น มันไม่เอา มันจะเอาแต่ความพอใจของมัน นี่เป็นเผ่าพันธุ์ของมัน
กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเป็นการกระทำของเรา เราจะทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน ทำบาปอกุศลขนาดไหน เวลากรรมมันให้ผลนะ มันให้ผลทั้งสิ้น
แต่กรรมให้ผล ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ เป็นเตมีย์ใบ้นั่นน่ะ นั่นน่ะขันธบารมีมันมีความอดทนไง
เขาไม่เชื่อ ดูสิ ตัดหู ตัดจมูก ตัดลิ้น ท่านไม่สนใจเลย นี่เวลาคนสร้างบุญสร้างกรรมขึ้นมา แต่เวลากษัตริย์ที่ทำนั้นทำด้วยทิฏฐิมานะของเขา ด้วยอยากเอาชนะคะคานของเขา เวลาเขาเสร็จกิจของเขา เขาออกจากสถานที่นั้นไป ธรณีสูบเลย
ก็ไปทำร้ายคนอื่น ไปทำร้ายพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เขาสร้างบารมีของเขา แล้วเอ็งไม่เชื่อ เอ็งไปทำร้ายเขา ไปทำร้ายเขาด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยอำนาจของตนไง ออกจากสถานที่นั้นไป ธรณีสูบเลย นี่ข้อเท็จจริงไง กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ ถ้ากรรมมันให้ผลๆ
แต่ถ้าเรามีสัจจะนะ เรามีคุณธรรมในหัวใจของเรา เรามีธรรมเป็นที่พึ่งๆ ธรรมคือสติคือปัญญานั่นแหละมันเป็นที่พึ่งของเรา มันแก้ไขวิกฤติการณ์ในชีวิตของเราได้ทั้งสิ้น ถ้ามันแก้ได้ เราฝึกหัดอย่างนี้ไง เราไม่ได้มาอ้อนวอนขอสิ่งที่มหัศจรรย์พันเลิศอะไรทั้งสิ้น เราขอให้เรามีสติ เราขอให้เรามีปัญญา เราขอให้เราพาชีวิตของเรามีแต่ความสงบสุขไง
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด
แล้วความสุขของเอ็ง เอ็งต้องการอะไร ก็เป็นสุขของเอ็ง เรื่องของเอ็ง เราจะไปบังคับให้คนคิดเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ แต่เรามีสติปัญญาสำหรับบังคับหัวใจของเราได้ ถ้าเรามีสติปัญญาสามารถบังคับหัวใจเราได้นะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเข้าไปในป่าในเขา ท่านเข้าไปเผชิญกับสิ่งใดท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ก็เราหาเอง ก็เราเข้าป่ามาเอง ก็เราตั้งใจมาเอง จะไปน้อยเนื้อต่ำใจ ไปกดดันตัวเองเรื่องอะไร ก็เราหาเอง
ถ้ามันทำความสงบไม่ได้ เราก็ต้องเอาที่สงบสงัดนั้นมาเป็นที่บังคับ ถ้าเราทำความสงบไม่ได้ ไปเที่ยวป่าช้า ป่าช้าก็เอาซากศพมาบังคับ ถ้าเราเที่ยวป่าช้าไม่ได้ก็เอาสัตว์ สัตว์ที่มันเป็นภัยๆ ถ้าเอ็งยังคิดนอกลู่นอกทางอยู่ เอ็งยังคิดส่งออกอยู่ ยังคิด อยากได้นู่น อยากได้นี่นะ พอไปเจอเสือ เงียบเลย เดี๋ยวมันจะตะปบเอาเดี๋ยวนี้
นี่เขาไปหาอุบาย เราหาสถานที่อย่างนั้น สถานที่อย่างนั้นเพราะข้างนอกเชิดฉายนะ แต่ข้างในทุกข์ยาก
ข้างนอกหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หัวใจอมทุกข์ แล้วไม่มีใครแก้ให้เราได้ เราไปสถานที่แบบนั้น เวลามันไปแล้วมันกลัว ถ้ากลัว คิดสิ พอคิดแล้วมันวาดภาพ วาดภาพเสือไง ถ้ามันพุทโธๆ มันไม่วาด ถ้าคิดว่าเราต้องตาย เสือกัดคอ นี่มันไม่คิดแล้ว นี่ไง ที่เขาไป เราปรารถนาอย่างนั้นน่ะ นี่เครื่องขัดเกลาๆ
แต่เราไปมองกันว่า โอ้โฮ! เป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความสุข มันเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น อยากมีความสุข อยากจะรื่นเริงบันเทิงกับโลกเขา
รื่นเริงบรรเทิงกับเขาไปนะ ดูสิ อบายมุข อบายภูมิ อบายมุขทั้ง ๖ มันก็ลงสู่อบายภูมินั่นน่ะ แต่ถ้าเราถือศีลของเราก็พรหมจรรย์ นี่ไง ถ้าพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์กับเราไง เรามีศีลมีธรรมของเรา
หน้าที่การงานเป็นเรื่องหน้าที่การงานนะ ทุกคนเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน แม้แต่พระก็ยังมีหน้าที่บิณฑบาตเป็นวัตร ทำภัตกิจ รักษาชีวิตนี้ไว้ รักษาชีวิตนี้ไว้นะ ทุกคนไม่โง่หรอก ทุกคนฉลาด ต้องรักษาชีวิตนี้ไว้ มันพอเยียวยารักษาชีวิตไง การฉันของสมณะฉันเพื่อดำรงชีพเท่านั้น ไม่เหมือนการฉันของฆราวาสเขา
ฆราวาสเขา เขาฉันเพื่อเกียรติศัพท์ของเขา ฉันเพื่อกาม ฉันเพื่อทิฏฐิมานะ เวลากินแบบโลกไง กินเพื่อเกียรติ เพื่อกาม เพื่อความยิ่งใหญ่
เราฉันแบบสมณะ สมณะพอเยียวยาชีวิตนี้ผ่านไป ถ้าเยียวยาชีวิตนี้ผ่านไป เยียวยาไว้ทำไม
เพราะมันรู้อยู่แล้ว เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติสิ้นสุดแห่งทุกข์นะ ท่านรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย แต่ตายแบบผู้มีคุณธรรมนะ ตายแบบยิ้มแย้มแจ่มใส
จิตตคหบดีเวลาตาย รถม้าเทวดายังมารับเลย ถ้าอุดมสมบูรณ์พอ นี่กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้าสร้างกรรมไว้สมบูรณ์แล้วนะ มันไม่กลัวอะไรหรอก มันพร้อมทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร
เพราะความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นเรื่องจริงนะ เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องสัจจะธรรมดา ฉะนั้น เรื่องสัจจะธรรมดา แล้วเราจะไปโต้แย้งกับเรื่องที่เป็นสัจจะ เรื่องที่เป็นความจริงได้อย่างไร
ถ้าเราไม่โต้แย้งเรื่องสัจจะความจริงขึ้นมา แต่เรามีสติปัญญา พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมก็เตือนเรามาตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าเตือนเราตลอดเวลาอยู่แล้ว เราจะมีบุญกุศลติดหัวใจเราไปไง เรามีอะไรพร้อมบ้างที่จะเผชิญกับความตายแล้วยิ้ม
เผชิญกับความตายเพราะมันเป็นเรื่องจริง
ในทางการแพทย์นะ เวลาไปเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเขาบอกว่าเงินเก็บไว้เถอะ เก็บไว้ให้ลูกหลานมันได้ใช้บ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นรักษาจนหมดแล้ว เป็นหนี้เป็นสินแล้วก็ยังต้องตาย
หมอหลายๆ คนที่ว่ารักษาไม่ได้เขาพูดอย่างนั้นทั้งสิ้น เพราะในทางการแพทย์เขาเห็นคนเจ็บคนป่วยขึ้นมา เพราะรักชีวิตขึ้นมา ทุ่มเททรัพย์สมบัติขายทั้งหมดเลยเพื่อมารักษาตนเองแล้วก็ตาย ตายไปพร้อมกับหนี้สิน ลูกหลานแบกภาระต่อไป นี่ไง เพราะไม่อยากตายไง
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ นะ อ้าว! ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ รักษาหายก็ดี ถ้ารักษาไม่ได้ รักษาไม่ได้มันก็เป็นกรรมของสัตว์ มันจะเป็นอะไรไป มันเรื่องธรรมดา คนเขาตายกันทั่วโลกทั่วแผ่นดิน ทำไมเราจะตายไม่ได้ เราก็ต้องตายเหมือนกัน เห็นไหม
แต่ถ้าเวลามีสติปัญญา ก่อนที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราฝึกกันอยู่นี่ไง เรามาวัดมาวาขึ้นมาก็เพื่อหัวใจของเรานี่ไง เรามาวัดมาวาก็เพื่อจิตใจที่เข้มแข็งนี่ไง
แล้วเวลาเราเสียสละไป เราเสียสละจากมือเราไป ไปถึงมือของสมณะ มือของผู้ประพฤติปฏิบัติ มันจะไม่ได้บุญตรงไหน บุญมันตั้งแต่เราอยากจะเสียสละอยู่แล้ว ถ้าเราเสียสละอยู่แล้ว มันปฏิคาหก พอเสียสละไปแล้วเป็นบุญกุศลของเรา เป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติตรงไหน สิ่งที่ถวายทานมานี่สดๆ ร้อนๆ ไม่เน่าไม่เสีย คิดเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น เวลาตายไป ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ทิพย์สมบัตินั่นไง
หลวงปู่เจี๊ยะพูดประจำ “สวรรค์ไม่มีตลาดนะเว้ย”
ไม่มีการซื้อ การขาย การแลกเปลี่ยน ไม่มีทั้งสิ้น ทิพย์สมบัติ นี่ไง สิ่งที่ว่าสดๆ ร้อนๆ ที่มันไม่บูดไม่เน่า พอไปเทวดาขึ้นมา วิญญาณาหาร วิญญาณาหารคือวิญญาณ จิตดวงนั้นมันซับสมสิ่งที่เป็นทิพย์ ใครที่สร้างไว้มากมายมหาศาล เวลาแสง อาหารของเทวดามันสว่างกระจ่างจ้ามากกว่าคนอื่น
เราทำไว้น้อยนิดเป็นแสงหิ่งห้อย แต่เราก็ดำรงชีพได้ แสงนั้นเริ่มจางลง พลังงานนั้นเริ่มเบาลง เทวดาจะหมดอายุขัย หมดอายุขัยเพราะขาดอาหาร ขาดอาหาร เทวดาต้องตาย ตายแล้วก็มาเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้วแต่กมฺมพนฺธุ แล้วแต่กรรมที่สร้างมา นี่ผลของวัฏฏะๆ
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นสิทธิ์ ตามสบาย เชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อด้วย ให้ภาวนา ให้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกเกิดขึ้นมากับจิตของเรา ไม่มีกำมือในเรา พระพุทธเจ้าแบไว้ตลอด นี่ผลของวัฏฏะ
แต่ถ้าเป็นในพระพุทธศาสนา เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง สัจจะความจริงขึ้นมา มันจะทุกข์จะยาก จะมั่งมีศรีสุขทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เรามีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา เราพยายามทำความสงบของใจของเราเข้ามา
ถ้าใจสงบระงับเข้ามา จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้วจิตน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง ถ้าเห็นจิตตามความจริง นั่นน่ะจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาการรู้แจ้งในจิตของตน
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่มันทุกข์มันยากขึ้นมา จิตที่มีบุญน้อยมีบุญมากขนาดไหน มันจะใช้ปัญญาแทงตลอด รู้แจ้งในใจของตนๆ นั่นน่ะวิปัสสนาเกิด พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ ถ้าสอนอย่างนี้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
แล้วเวลามันพิจารณาไปแล้วตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว มันเข้าใจขึ้นมาด้วยกำลังของสติ ด้วยกำลังของปัญญา
เวลาหลวงตาท่านสอน ท่านบอก นี่กำลังของธรรม กำลังของธรรม กำลังของการภาวนา ธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กันไง
กิเลสก็คือความเคลิบเคลิ้ม มีแต่ทิฏฐิมานะ มีความอหังการในหัวใจ นั่นคือกิเลส กิเลสบอกว่า เรายังไม่ตาย เราจะอยู่ค้ำฟ้า เราจะครองโลก นั่นน่ะเรื่องของกิเลส กิเลสมันยุมันแหย่ของมัน
เวลาเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราสงบระงับเข้ามา จิตของเราสงบแล้ว ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งในใจของตน ปัญญาที่มันจะแทงทะลุในจิตของตน นี่เกิดกองทัพธรรม กองทัพคือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนา นี่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง เรามีรัตนตรัย
เรามีพระธรรมๆ พระธรรมแล้วกราบสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สัจธรรมมันเกิดขึ้นในหัวใจของเรา มันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เกิดธรรมจักร
ที่ว่าธรรมจักรๆ จักรคือศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเคลื่อนเข้ามาในหัวใจ มันไม่เหมือนกงจักร กงจักรของกิเลสมันเป็นกงจักรที่ทำลายหัวใจของตน เวลาเป็นธรรมจักรเกิดขึ้น ระหว่างกองทัพกิเลสกับกองทัพธรรมมันต่อสู้กันบนภวาสวะ บนจิตของตน
เวลาคนภาวนาไปมันจะเห็นระหว่างกองทัพธรรมกับกองทัพกิเลสมันประหัตประหารกัน มันเกิดความมหัศจรรย์ๆ โอ้โฮ! พระพุทธศาสนา
เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่าๆ รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร
ไอ้ของเราไม่มีหรอก มีแต่ขี้โม้ ทรงจำธรรมวินัยไว้แล้วมาตีความเป็นตรรกะ แล้วก็เหยียบย่ำทำลายกันว่ากูจำได้ดีกว่ามึง แล้วกูขยายความได้ดีกว่า แต่ไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีความเป็นจริงในใจนั้นเลย
ความเป็นจริงในใจนั้นต้องทำความสงบของใจเข้ามา ฐีติจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เวลาเกิดภาวนามยปัญญา เกิดธรรมจักรขึ้นไป มันไปรื้อไปถอนที่จิตดวงนั้น เวลาจิตดวงนั้นเวลามันทำลายอวิชชาหมดในใจดวงนั้นแล้ว ใครตายเวลาหลุดพ้นไป
นี่ผลของวัฏฏะไง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ถ้ามันวิวัฏฏะ มันหลุดจากวัฏฏะไปแล้วใครตาย
มันไม่อยู่ในกระแสของวัฏฏะ หลุดออกไปจากวัฏฏะ แล้วหลุดออกไปอย่างไร เวลาหลุดไป มันเกิดจากการกระทำไง
นี่พูดถึงว่าฟังธรรมๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ไง พระพุทธศาสนานี้มีคุณค่ามาก มีคุณค่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วมันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
พระพุทธศาสนายืนยันถึงการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายในใจดวงนั้น ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ในใจปรารถนาของชาวพุทธเราถึงที่สุดแห่งทุกข์
แต่เรามันขี้ทุกข์ขี้ยาก ทุกข์จนตรอมใจ ทุกข์จนเจ็บช้ำน้ำใจ ทุกข์จนเก็บไว้ในใจ ทุกข์มันบีบคั้นในใจ เพราะความทุกข์อันนั้นมันอยู่กับใจดวงนั้น มันก็บีบให้ใจมาเกิดอีกๆ นั่นน่ะคือการขับเคลื่อนของกรรม กรรมในหัวใจดวงนั้น
ทำดี ทำดี ทำดี ทำดีก็ขับเคลื่อนแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ ทำดีๆ ทำดีจนมีอำนาจวาสนาบารมี พอมีอำนาจวาสนาบารมีมันจะเริ่มมีสติปัญญา มีฐาน มีภวาสวะ กรรมฐานสามารถเห็นได้ว่า จินตนาการเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดธรรมจักร ธรรมจักรที่ระหว่างกองทัพธรรมกับกองทัพกิเลสมันต่อสู้กันอย่างไร
แล้วถ้าเป็นจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะไง ไม่มีกำมือในเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้ได้ทุกดวงใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือหัวใจของตน อุปัฏฐากรักษาใจของตนด้วยคุณงามความดี ให้ใจของตนมีที่พึ่งที่อาศัย อย่าให้ใจของตนโดนกิเลสมันขี่คอ ขี้รดขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ถ่ายกลางหัวใจ แล้วเจ็บปวดทุกข์ร้อนโดยไม่มีทางออก เอวัง